วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แหล่งท่องเที่ยว

พระธาตุดอยเวา


               ตั้งอยู่ที่ หมู่ 1 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (ตั้งอยู่บนดอยริมฝั่งแม่น้ำสาย) ตามประวัติกล่าวว่า พระองค์เวาหรือเว้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกเป็นผู้สร้างเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุองค์หนึ่งเมื่อ พ.ศ.364 นับเป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองลงจากพระบรมธาตุดอยตุง บนพระธาตุดอยเวาได้จัดตกแต่งให้มีความร่มรื่นเป็นอันมาก มีหอชมทิวทัศน์ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ในตัวเมืองแม่สาย และจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนม่าร์ ได้อย่างชัดเจน มีรูปปูนปั้นแมงป่องช้าง (แมงเวา) ตัวขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ บริเวณลานกว้างทางด้านเหนือขององค์พระเจดีย์ มีอนุสาวรีย์ของ พระนเรศวรมหาราช พระสุพรรณกัลยา และพระเอกาทศรสประดิษฐานอยู่เคียงข้างกัน โดยอนุสาวรีย์ทั้ง 3 พระองค์สร้างขึ้นตามความตั้งใจของหลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร รวมทั้งมีปราสาทไพชยนต์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อประกาศถึงคุณงามความดี และเพื่อสักการะพระอินทร์ (องค์อัมรินทราธิราช) ซึ่งร่วมสร้างกันหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ และเอกชน คหบดีของอำเภอแม่สาย ฯลฯ

  ถ้ำผาจม


               ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย อยู่ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศเหนือประมาณ 1.5 กิโลเมตร ถ้ำผาจมตั้งอยู่บนดอยอีกลูกหนึ่งทางทิศตะวันตกของดอยเวา ติดกับแม่น้ำสาย เคยเป็นสถานที่พระภิกษุสงฆ์นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ปัจจุบันมีรูปปั้นของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ประดิษฐานไว้บนดอยด้วย ภายในถ้ำผาจมมีหินงอกหินย้ยอยู่ตามผนังและเพดานถ้ำ สวยงามวิจิตรการตา

ถ้ำปุ่ม ถ้ำปลา ถ้ำเสาหินพญานาค


               ตั้งอยู่ที่ดอยจ้อง หมู่11 ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศใต้ตามทางหลวงหมายเลข 110 ประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางแยกเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ดอยจ้องเป็นภูเขาหินปูนจึงประกอบด้วย ถ้ำหินงอก หินย้อย และทางน้ำไหลมากมาย
ถ้ำปุ่ม นั้นอยู่สูงขึ้นไปยอดเขา ต้องปีนขึ้นไป ภายในถ้ำมืดมาก ต้องมีผู้นำทางเที่ยวชม
ถ้ำปลา เป็นถ้ำหนึ่งที่มีน้ำไหลภายในถ้ำ เคยมีปลาชนิดต่าง  ทั้งใหญ่น้อยว่ายออกมาให้เห็นเป็นประจำ ภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปศิลปะพม่า สร้างขึ้นโดยพระภิกษุชาวพม่า เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ประชาชนทั่วไปเรียกว่า “พระทรงเครื่อง” เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนในแถบนี้ br> ถ้ำเสาหินพญานาค อยู่ในบริเวณเดียวกัน เดิมต้องพายเรือข้ามน้ำเข้าไปชม ภายหลังได้สร้างทางเดินเชื่อมกับถ้ำปลา เป็นระยะทาง 150 ม. ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อย และยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมด้วย

ตลาดดอยเวา


               ตลาดดอยเวาเป็นแหล่งซื้อ-ขายของฝากที่นักท่องบเที่วแทบทุกคนต้องได้มาสักครั้งหนึ่ง เพื่อมาเดินซื้อของฝากราคาประหยัดกัน บริเวณนี้แต่เดิมเป็นที่ว่างเปล่า อยู่บริเวณหน้าวัดดอยเวา หรือปากทางขึ้นไปพระธาตุดอยเวานั่นเอง ซึ่งเป็นที่ดินของวัดดอยเวา ต่อมาทางวัดได้ก่อสร้างเป็นอาคารชั้นเดียว เพื่อจัดสรรให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายได้จับจองล๊อกเพื่อขายของฝาก โดยเงินที่ได้จากค่าเช่านั้น ทางวัดได้นำมาบูระณะปฏิสังขรบริเวณรอบ ๆ วัดและพระธาตุดอยเวาให้ดูดี และเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น
               บรรดาของฝากที่มีขายกันมากมาย ประกอบไปด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้า, ขนมชนิดต่าง, เครื่องคิดเลข, เสี้อผ้ากันหนาว, เสี้อผ้าแฟชั่น, ชุดว่ายน้ำ, ถุงเท้า, รองเท้า, ของเล่นเด็ก, ภาพโปสเตอร์, พรม, ผ้าห่มขนปุย, ฯลฯ โดยสินค้าส่วนใหญ่จะผลิตในประเทศจีน มีบางอย่างที่ผลิตในประเทศพม่าเช่น เครื่องสำอางค์ หรือขนมบางอย่าง สนนราคาก็ไม่แพงเลย อาทิเช่น เครื่องเล่นวีซีดีเครื่องละประมาณ 1,000-1,200 หรือถ้าคุณต่อรองดี แล้ว อาจจะต่ำกว่าพันก็ได้ เครื่องคิดเลขขนาดใหญ่ก็ราคาประมาณ 100 บาท อันเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ประมาณ 30-60 บาท ของเล่นเด็กที่ผลิตในจีนก็ราคาถูก แต่คุณภาพ หรือความคงทนก็ด้อยตามราคาของมัน

ตลาดสายลมจอย


               ส่วนแหล่งขายของฝากอีกที่หนึ่งคือบริเวณถนนสายลมจอย (สายลมโชย) ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทะลุมาจากตลาดดอยเวาได้เลย สินค้าที่มีจำหน่ายที่นี่ก็มีคล้าย ๆ กับของตลาดดอยเวา ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ถนนสายลายจอยแห่งนี้จะถูกเนรมิตให้เป็น ถนนข้าวสาร(แม่สาย) มีการปิดถนนคนเดิน ให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านได้เล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างเต็มที่ ซึ่งได้เริ่มเมื่อปี 2547 นี้เป็นปีแรก

ตลาดน้อยไม้ลุงขน


               หมู่บ้านไม้ลุงขนเป็นหมู่บ้านเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของอำเภอแม่สาย ที่มาของชื่อไม้ลุงขน มาจากชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า “ต้นไม้ลุง” บริเวณกิ่งก้สนจะมีเถาวัลย์ และกิ่งเล็ก ๆ งอกออกมาลักษณะเหมือนขน ชาวบ้านจึงเรียกว่าไม้ลุงขน และนำมาเป็นชื่อหมู่บ้านดังกล่าว
               บริเวณใจกลางหมู่บ้านไม้ลุงขนจะมีตลาดอยู่ ซึ่งคนในพื้นที่จะเรียกเป็นภาษาถิ่นว่า “กาดน้อย” กาดน้อยเป็นตลาดเย็น หมายถึงจะขายของตอนเย็น ตอนเช้าก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าเอาของมาขายเช่นกัน แต่จะเป็นพวกน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ หรือไม่ก็กับข้าวสำเร็จ ส่วนในตอนเย็นเริ่มตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป จะเป็นของสด เช่นผักสดชนิดต่าง
            ตลาดแห่งนี้มีความอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นตลาดที่สามารถขี่มอเตอร์ไซต์เข้าไปจับจ่ายเลือกซื้อหากันได้ และเคยได้ออกรายการทีวีมาแล้วเช่นรายการที่นี่ประเทศไทย รายการสะเก็ดข่าว ลักษณะทั่วไปของตลาดจะเป็นแผงลอยที่ทำขึ้นมาเองจากฝีมือพ่อค้าแม่ขายเอง เวลาฝนตก แดดออกก็ต้องหาร่ม หาผ้าใบมาคลุมกันเอง
            แรกเริ่มเดิมทีย้อนหลังไปเกือบ 30 ปีที่แล้ว บริเวณนี้เป็นถนนค่อนข้างกว้างขวาง มีคนเอาผัก เอาผลหมากรากไม้ที่ปลูกไว้หลังบ้านมาวางขายกันไม่กี่เจ้า นานวันเข้าก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้มีร้านค้านับเป็นหลายร้อยร้าน

ขุนน้ำนางนอน 


วนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน
               วนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอนได้จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2529 ครอบคลุมหัวดอยนางนอน อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดอยนางนอน ท้องที่รับผิดชอบของตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีเนื้อที่ 8 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 5,000 ไร่ มีพื้นที่สำหรับบริการนักท่องท่องอยู่ 2 แห่งคือ
              1.บริเวณวนอุทยานถ้ำหลวง มีเนื้อที่ 12 ไร่ ตั้งอยู่ท้องที่บ้านน้ำจำ ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นที่ตั้งสำนักงาน
              2.บริเวณขุนน้ำนางนอน มีเนื้อที่ 8 ไร่ ตั้งอยู่ท้องที่บ้านจ้อง ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย
สภาพภูมิประเทศ
              1.บริเวณถ้ำหลวง เป็นพื้นที่หุบเขามีภูเขาสูงล้อมรอบ
              2.บริเวณขุนน้ำนางนอน เป็นพื้นที่ราบเชิงดอยมีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่น มีน้ำซึมผ่านมาจากรอยแยกของหินเป็นแอ่งน้ำซึ่งใสและเย็นมาก
              ปากถ้ำอยู่ทิศเหนือของตัวดอย สูงกว่าระดับพื้นดินธรรมดาประมาณ 15 ขั้นบันได เป็นถ้ำที่มหินงอกหินย้อยเป็นจำนวนมากที่สุดถ้ำหนึ่งในเชียงราย การเดินขึ้นไปปากถ้ำสะดวกสบายมาก เพราะไม่สูงและมีปันไดไว้ให้ ปากถ้ำกว้างประมาณ 20 เมตร ลักษณะลาดเอียงลงไปข้างล่าง คือเอียงลงในถ้ำ ภายในไม่ราบเรียบ เต็มไปด้วยหินงอก หินย้อยตะปุ่มตะป่ำ บางแห่งหินย้อยลงมาจากเพดานข้างบนจนจดพื้นข้างล่าง เลยกลายเป็นลักษณะเสาค้ำเพดานไว้ก็มี บางแห่งย้อยลงมามีลักษณะคล้ายผ้าม่านที่มนุษย์ทำขั้น บางแห่งเวลาส่องดูด้วยไฟฟ้าเดินทางจะปรากฏมีแสงระยิบระยับสวยงามมาก บางคนจินตนาการไปต่าง ๆ นานา เช่น เป็นห้องโถงท้องพระโรงบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง แม้กระทั่งจินตนาการเป็นรูปคน สัตว์ก็มี หลายแห่งมีน้ำหยดลงมาจากผนังถ้ำด้านบน บางแห่งหยดลงมานานจนกลายเป็นแอ่งน้ำเล็ก ๆ สามารถตักดื่มได้ จึงจินตนาการไปกลายเป็นบ่อน้ำทิพย์ บ่อน้ำมนต์ฤาษีบ้าง ว่ากันไปไม่รู้จบ บ้างก็เล่าลือกันไปว่าถ้ำนี้สามารทะลุไปออกถ้ำเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่โน่นทีเดียว ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
              ภายในถ้ำมีลักษณะเป็นตะปุ่มระป่ำไม่เรียบถ้าเรียบก็สามารถบรรจุคนจำนวนร้อยได้ บางแห่งกว้างราวกับหอประชุมขนาดใหญ่ มีโพรงอากาศที่ทะลุจากเพดานถ้ำด้านบนให้แสงสว่างลงมาถึงก้นถ้ำสามแห่ง เชื่อกันว่าไม่มีใครสามารถเดินเข้าถ้ำนี้จนสุดได้ทุกซอกทุกมุมได้ เพราะว่ามีหลายหลืบ หลายชั้นมากมายเหลือเกิน บางตอนจะต้องเดินลัดน้ำที่ลึกประมาณ 1 ศอกก็มี แต่บางแห่งก็เป็นเพียงมีน้ำซึมเท่านั้น พื้นถ้ำส่วนมากลื่นอาจจะหกล้มได้ง่าย บางแห่งเป็นหุบเหวยอยู่ภายในถ้ำก้มี ทั้งนี้เนื่องจากความใหญ่โตของมันนั่นเอง
              เมื่อปี 2534 มีนักทัศนาจรชาวฝรั่งสองคน ได้มาเที่ยวที่ถ้ำหลวงแห่งนี้และพากันเข้าไปในถ้ำ คนภายนอกถ้ำสังเกตุว่าทั้งคู่ไม่ออกมากที จึงแจ้งตำรวจและช่วยกันค้นหา กว่าจะพบและพาออกมาได้ก็เสียเวลาไปสามวันในสภาพที่ดิดโรยเต็มที จากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนมาตั้งอยู่ที่ปากถ้ำเพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือดังกว่าวมาแล้ว
สภาพภูมิอากาศ
              สภาพภูมิอากาศของวนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน มี 3 ฤดู คือฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูหนาว สำหรับวนอุทยานถ้ำหลวงมีสภาพอากาศที่เย็นสบายถึงแม้จะเป็นฤดูร้อนเพราะอยู่ในพื้นที่หุบเขา
จุดเด่นและแหล่งท่องเที่ยว
         วนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน มีพื้นที่สำหรับบริการนักท่องเที่ยว 2 แห่ง มีจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยว 6 แห่ง คือ
              1.ถ้ำหลวง ตามลักษณะของถ้ำ คำว่า “หลวง” เป็นภาษาพื้นเมือง แปลว่าใหญ่ ถ้ำหลวงเป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ เชื่อว่ามีความยากมากที่สุดในประเทศไทย สำรวจได้โดยประมาณ 7 กิโลเมตร ปากถ้ำกว้างขวางมาก ภายในจะพบความงามของเกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอก หินย้อย ธารน้ำและถ้ำลอด แต่ละจุดจะมีชื่อเรียกตามลักษณะของบริเวณนั้น
              2.ถ้ำพระ เป็นถ้ำขนาดเล็กมีความสงบร่มเย็น ชาวบ้านได้สร้างพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชา
              3.ถ้ำเลียงผา เป็นถ้ำที่มีเปลือกหอย อายุหลายล้านปี (กำลังอยู่ในระหว่างการสำรวจข้อมูลที่ชัดเจน) แต่เดิมมีคนกล่าวไว้ว่าเป็นแหล่งน้ำ ซึ่งบริเวณนี้จะมีเลียงผามากินน้ำเป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า “ถ้ำเลียงผา” มีความชุ่นชื้นตลอดเวลา พื้นถ้ำบางแห่งเป็นดินพุ
              4.ถ้ำมัลติเทวี เป็นถ้ำขนาดเล็ก มีหินงอกคล้ายรูปพญานาค บางครั้งเรียกว่าถ้ำพญานาค กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระอริยสงฆ์รูปหนึ่ง และได้มรณะภาพภายในถ้ำนี้
              5.ถ้ำทรายทอง มีความงดงามของหินงอก หินย้อย พื้นถ้ำเดินได้สะดวก และสามารถเดินทะลุไปอีกส่วนหนึ่งของถ้ำได้ (อยู่ที่บริเวณขุนน้ำนางนอน)
              6.ขุนน้ำนางนอน เป็นแอ่งเก็บน้ำซึ่งซึมผ่านออกมาจากรอยแยกของหิน มีน้ำตลอดปี และมีปลาหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอยู่มาก และยังมีเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมขาติ 1 เส้นทาง ซึ่งระยะทางประมาณ 2.6 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินศึกษาธรรมชาติอย่างน้อย 55 นาที หรืออย่างมาก 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการเลือกจุด ที่จะหยุดตามความสนใจ ซึ่งหากคุณเดินช้า ก็จะได้รับรางวัลมากกว่าการเดินเร็ว
การคมนาคม
              เดินทางได้โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 10 จากเชียงราย – แม่สาย ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายตามป้ายชื่อ (ปากทางเข้าอยู่บริเวณตรงข้ามโรงเรียนบ้านน้ำจำ ต.โป่งผา) วนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ
              สำหรับเส้นทางสำรวจและศึกษาธรรมชาติ ของวนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอนนั้น มีจำนวน 3 เส้นทาง เส้นทางที่ยาวที่สุดมีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง หรือผู้ใหญ่ เส้นทางรองลงมามีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร และเส้นทางที่สามนั้นมีระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร เหมาะสำหรับเยาวชนหรือผู้ที่มีเวลาน้อย
              ตลอดระยะเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติทั้ง 3 เส้นทางนี้ มีสิ่งที่น่าสนใจมากคือ สภาพของป่าบริเวณถ้ำหลวง จนถึงขุนน้ำนางนอน มีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณผสมดิบแล้ง และบางช่วงเป็นป่าโปร่ง มีไม้ไผ่หลายชนิดขึ้นกระจัดกระจาย ไม้บนสุดที่มีเรือนยอดเด่น มีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งของชนิด และพันธุ์ไม้ค่อนข้างสูง อีกทั้งหากเดินอย่างสงบจะพบสัตว์ป่าหลายชนิด เช่นหมูป่า เก้ง แมวป่า อีเห็น กระรอก กระแต หนูหรึ่ง ส่วนจำพวกนก ได้แก่เหยี่ยว นกนางถ้ำ นกปรอทหัวขวาน นกกระปูด 
              ระหว่างทางจะพบโขดหินปูนซึ่งถูกน้ำกัดเซาะสวยงาม และข้างทางจะพบเห็ด เถาวัลย์ นอกจากนั้นช่วงทางเดินแต่ละเส้นทางระหว่างถ้ำหลวงถึงขุนน้ำนางนอน จะพบการแบ่งเขตของป่า จากป่าเบญจพรรณสู่ป่าดิบแล้งอย่างชัดเจน และป่าซึ่งฟื้นคืนสภาพจากการถูกทำลายและทั้ง 3 เส้นทางจะมีทางลงที่ขุนน้ำนางนอน
สิ่งที่คุณสามารถพบได้ระหว่างการเดินศึกษาธรรมชาติ
              1.ไลเคน เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ คืบคลานมาจากท้องทะเล เมื่อประมาณ 400 ล้านปีมาแล้ว โดยขึ้นมาอยู่บนก้อนหิน นับเป็นปรากฏการณ์ของวิวัฒนาการบนโลกเรา แต่ก่อนนั้นผิวโลกของเราเป็นสีน้ำตาล ไม่มีสิ่งมีชิวิตแต่ด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จัดได้ว่าเป็นการปฏิวัติเขียว ซึ่งทำให้พื้นผิวโลกมีการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงไป ไลเคนเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างดิน ทำให้พืชขนาดเล็กเกิดขึ้นได้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างผืนป่าขนาดใหญ่ ถ้าไลเคนไม่เกิดขึ้นในขั้นแรกก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นตามมาได้ รวมทั้งตัวเราด้วย 
              2.พรมแดนป่า รอยต่อของป่าตรงบริเวณนี้เป็นบริเวณถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษ เพราะมีป่าถึงสามชนิดอยู่ใกล้ชิดติดกัน ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดงดิบ มีความหลากหลายทางพันธุ์ไม้มาก จัดเป็นแหล่งผลิตอาหารขนาดใหญ่ในพื้นที่เล็ก ๆ ทำให้สัตว์ป่าขนาดเล็กและใหญ่ รวมทั้งนกสามารถเคลื่อนย้ายหากินได้ง่าย และรวดเร็ว ในระหว่างป่าแต่ละชนิดความมหัศจรรย์ที่ทำให้พันธุ์ไม้มารวมอยู่ได้ในบริเวณนี้ก็เนื่องมาจากความลดหลั่นในปริมาณและคุณภาพของดิน อากาศ อุณหภูมิ ปริมาณน้ำ และความลาดเอียงของพื้นที่
              3.ต้นไผ่ เป็นหญ้าที่สูงที่สุดในโลก มีวิวัฒนาการด้านการสืบพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในฤดูฝนจะแตกหน่อ งอกออกมาเหมือนกับต้นแม่ภายในเวลา 3 เดือน แล้วหน่อไผ่เหล่านี้ก็เจริญเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ จนเมื่อวันหนึ่งบรรยากาศบริเวณนั้นขาดแคลนความชื้นในอากาศและความชื้นในดิน มันก็จะพากันออกดอกออกผลได้เป็นพัน ๆ เพื่อแพร่กระจายไปได้เป็นบริเวณกว้างขวาง ซึ่งเป็นการใช้พลังงานไปอย่างมากมาย แล้วต้นแม่ก็จะตาย ซึ่งเรียกว่าไผ่ตายขุย ในอุทยานนี้มีไผ่อยู่มากกว่า 8 ชนิด ที่ใช้เทคนิคการสืบพันธุ์โดยวิธีดังกว่าว
              4.กล้วยไม้ เงยหน้าขึ้น จะพบกล้วยไม้ (ต้นไม้กลุ่มที่ถูกจัดเป็นพืชมีดอกสวยที่สุดในโลก) ถูกจัดเป็นพืช เกาะอาศัย กล้วยไม้มีรากอากาศเพื่อเก็บน้ำและมีขี้ผึ้งเคลือบใบเพื่อป้องกันความร้อนและกระแสลมมาพัดเอาไอน้ำไปจากใบ รากสามารถดึงดูดน้ำจากอากาศ และฝน กล้วยไม้กินแร่ธาตุจากน้ำฝนที่ไหลผ่านเปลือกไม้ กล้วยไม้มักมีรูปร่างของใบคล้าย ๆ ถ้วยเพื่อเก็บน้ำฝนให้ได้มากขึ้น
              5.พูพอน มองขึ้นไปคุณจะเห็นว่าต้นไม้ในป่าดงดิบสูงมากเพียงใด บางต้นสูงถึง 40 เมตร คุณว่ามันรักษาความสู่งเด่นของมันอย่างไร รากของมันไม่ลึกมากพอ ต้นไม้ไม่มีรากแผ่ด้านข้างมากนัก เพราะรากไม้จะไปประสานชนกับรากต้นไม้อื่นจึงทำให้มันไม่สามารแผ่ไปได้ไกล ต้นไม้ในป่าดงดิบจึงสร้างขาพิเศษสำหรับเอาไว้ค้ำยันเพื่อเผชิญกับพายุแรง ขาพิเศษนี้เรียกว่า “พูพอน”
              6.เถาวัลย์ พื้นป่าดงดิบมืดทับ เพราะได้รับแสงน้อย ที่นี่คุณจะพบเถาวัลย์มากมาย เถาวัลย์ต้องการแสงแดดเช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่ มันจึงใช้วิธีลัดด้วยการเติบโตทางด้านยาวมากกว่าด้านกว้าง ทำให้ไม่แข็งแรง แต่ก็ขึ้นไปรับแสงได้ ด้วยการอาศัยต้นไม้อื่น มันแตกรากออกด้านข้างเพื่อเกาะยึด ให้หนามขอเกี่ยว เถาวัลย์ไม่ทำร้ายต้นไม้ที่มันอาศัย ยังช่วยสานเรือนยอดต้นไม้ให้เป็นกำแพงเพื่อต้านพายุได้
              7.ปลวก ถ้าในป่าไม่มีปลวกจะเกิดอะไรขึ้น??? ปลวกเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าอยางยิ่ง เพระต้นไม้กิ่งไม้ที่หักลงจะถูกย่อยสบายเปลี่ยนเป็นธาตุที่มีโครงสร้างซับซ้อนให้กลับมาเป็นอาหารที่พืชชนิดอื่นนำไปใช้ได้ทันที ปลวกไม่มีน้ำย่อยในตัวของมัน แต่อาศัยโปรตัวซัวในลำไส้ที่สามารถย่อยเนื้อไม้ มันนำไม้ปให้เห็ดราภายรังเป็นอาหาร ปลวกก็จะพากันกินเห็ดที่งอกขั้นมาเหมือนกับสวนครัวที่คุณปลูกไว้ที่บ้าน ในป่าทั่ว ๆ ไป จึงจำเป็นต้องมีปลวกทำหน้าที่หมุนเวียนแร่ธาตุอาหารให้กับนิเวศวิทยาของป่า
ขุนน้ำนางนอน
              เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่เป็นหน้าเป็นตาของอำเภอแม่สาย ตั้งอยู่บ้านจ้อง ต.โป่งผา อ.แม่สาย ห่างจากตัวอำเภอแม่สายลงมาทางพหลโยธินประมาณ 7 กิโลเมตร และจากปากทางเข้าไปจนถึงขุนน้ำนางนอนอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร ระหว่างทางจะเป็นหมู่บ้านเรียงรายทั้งสองข้างทาง
              เมื่อหลายปีก่อนสามารถขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปข้างในได้เลย แต่ปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ได้จัดที่จอดรถไว้ให้ รวมทั้งร้านอาหารด้วย เมื่อก่อนที่ยังไม่มี่เจ้าหน้าที่มาดูแล ร้านอาหารจะตั้งอยู่ด้านใน ใกล้ ๆ กับขุนน้ำ (ถ้ำที่มีน้ำใหลออกมา) ทำให้ดูไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นทางกรรมการหมุ่บ้าน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทั่วไปและเจ้าหน้าที่วนอุทยานได้จัดที่สำหรับตั้งร้านขายอาหารได้ มี 2 แห่ง คือทางด้านหน้าทางเข้าทางเดิม และอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางเข้าทางใหม่ ทางด้านหลังของขุนน้ำ
              ในช่วงฤดูร้อน ประมาณเดือน มีนาคม-พฤษภาคม จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันมากที่สุด นิยมนำอาหารจากบ้านมาทานกันเอง บางคนก็มาหาซื้อเอาจากร้านค้า ที่มีบริการนับสิบร้าน ภายในบริเวณขุนน้ำนางนอนมีถ้ำอยู่ 1 แห่ง เป็นถ้ำขนาดเล็ก สามารถเดินเข้าไปชมได้ตลอดเวลา

อ้างอิง https://maesaicrka.wordpress.com/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น